ตามหา ทะเลหมอก ที่ ภูทับเบิก ตอนที่ ๒
ทะเลหมอก ภูทับเบิก
ในราตรีอันเหน็บหนาวราวกับเหมันต์มาเยือน
อณูของความเยือกเย็นที่แทรกซึมผ่านเส้นใยของผ้าห่ม
ลงมากระทบผิวกาย
ทำให้สะดุ้ง รู้สึกตัวตื่นจากการหลับไหล
และยากที่จะข่มตาให้หลับ…อีกครั้ง
ปล่อยให้เวลาผ่านไปหลายนาที
หรือบางทีอาจเป็นชั่วโมง
การนับแกะ…ได้เริ่มขึ้น
แกะตัวแรกเดินผ่านไป ตามด้วยแกะตัวที่สอง
จากนั้นก็เพิ่มขึ้นทีละตัว ๆ
เป็นร้อยตัว พันตัว
แต่ความง่วงยังไม่มีทีท่าจะมาเยือน
แกะตัวที่ ๑,๐๐๙ จึงเป็นตัวสุดท้ายในราตรีนี้
ภายใต้ความเงียบ
ที่มีเพียงเสียงลมหายใจเข้า-ออกของตัวเอง
ความคิดเริ่มออกเดินทาง
เรื่องราวของใครบางคนถูกส่งผ่านสู่ความรู้สึกให้คิดถึง
และติดตรึงอยู่ที่ความเหงา
ยิ่งหนาว ยิ่งรู้สึกเหงา ยิ่งเหงา ยิ่งรู้สึกหนาว
อยู่แบบนี้หลายชั่วยาม
I’ll be your dream
I’ll be your wish I’ll be your fantasy
I’ll be your hope I’ll be your love
Be everything that you need
I’ll love you more with every breath
Truly, madly, deeply do
เสียงเพลง Truly Madly Deeply lyric ของ Savage Garden ดังขึ้น
ด้วยทำนองที่เสนาะหู
และความนัยที่ลึกซึ้งกินใจ
มันจึงถูกเลือกไว้เป็นเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์
ทุก ๆ ครั้งที่ี่เริ่มบรรเลง
ก็เป็นอันรู้ว่าต้องรีบลุกจากเตียงนอน
เพลงจากโทรศัพท์ยังคงดังไปตามท่วงทำนอง
ผมลุกขึ้น มองลอดช่องประตูที่แนบไม่สนิทกับฝาผนัง
แม้ช่วงเวลานั้นจะเป็นเวลาเช้ามืด
แต่ก็ยังพอมีแสงสลัว ๆ ให้ได้มองเห็นความเป็นไปนอกบ้าน
ละอองน้ำที่เกิดจากควบแน่นจับกันเป็นกลุ่มก้อน
ลอยฟูไปทั่วอาณาบริเวณ
ราวกับวิมานอย่างในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ของช่องหลายสี
มือขวาและมือซ้ายถูกยกขึ้นมาขยี้ตาทั้งสองข้าง…อย่างไม่ลังเล
เพื่อความแน่ใจว่านี้ไม่ใช่ความฝัน
หรืออาการพล่ามัวของดวงตาที่พึ่งตื่น
ขยี้อยู่หลายที ขยี้ี่อยู่หลายครั้ง
สิ่งที่เห็นนอกบ้านก็ยังคงเหมือนเดิม…ไม่ไปไหน
สัญชาตญาณช่างภาพเริ่มทำงาน
กระเป๋าที่บรรจุเลนส์กล้องถูกสะพายไว้บนหลัง
ส่วนกล้องถูกหยิบขึ้นมาคล้องไว้ที่คอ
จากนั้นก็ปิดโทรศัพท์ยัดใส่กระเป่ากางเกง
พร้อมกับเดินออกห้อง ล็อคประตู มุ่งสู่ไร่ริมผา
สถานที่อันเป็นนิยมของคนมาเที่ยวภูทับเบิก
ผมไม่รู้ระยะทางมันไกลแค่ไหน
จะต้องใช้เวลาเดินนานเท่าไหร่ในยามปกติ
สำหรับเวลานี้ และเดี่ยวนี้
เพียงไม่กี่อึดใจ ผมก็ได้มายืนที่จุดหมาย
พร้อม ๆ กับเสียงรัวๆ ของ…ลมหายใจ
ลานหญ้าสีเขียวกว้าง
ถูกปรับเป็นขันบันไดให้นักท่องเที่ยวได้กางเต็นท์นอน
ด้านหน้าเป็นริมผาสูงชั้น
ถัดออกไปเป็นกลุ่มก้อนเมฆขาวราวปุยนุ่น
ลอยฟูกินพื้นที่เป็นวงกว้างสุดสายตา
เหล่าคนชอบเที่ยวต่างวุ่นวายในการเลือกที่เหมาะๆ
ในแบบที่ตัวเองชอบ
บ้างตะโกนเสียงลั่นด้วยความตื่นตาตื่นใจ
บ้างถือไม้เซลฟี่ ยิ้มไปพรางถ่ายรูปไป รัวๆ
ส่วนบันดาตากล้อง
ก็กางขาตั้งกล้องจับจองที่เป็นแถวยาว
ใครมีแบบส่วนตัวมาด้วยก็เห็นจะลำบาก
เพราะต้องคอยตามบันทึกภาพ
ที่พวกเธอขยันโพสต์ในทุก ๆ มุม
ต่างจากช่างภาพผู้โดดเดี่ยว
มุมไหนสวย มุมไหนดี ไม่มีพลาด (ฮ่า)
ตะลึงในความงามที่อยู่เบื้องหน้า
และกวาดสายตามองชาวบ้านอยู่พักใหญ่
ก็เดินเล็งหาที่เหมาะๆ
ชอบตรงไหน มุมไหน
ก็บันทึกภาพตรงนั้นไว้…ให้คิดถึง
เพลิดเพลินกับการถ่ายภาพอยู่ไม่นาน
แสงสีทองที่ขอบฟ้าก็ปรากฏ
ดวงอาทิตย์ครึ่งเสี้ยว…สีแดงฉาน
ค่อยๆโผล่ จนเต็มดวงที่เหนือเส้นขอบฟ้า
เปล่งรัศมีสีทองเจิดจ้า
มีเบื้องหน้าเป็นกลุ่มก้อนเมฆสีขาว
เสียงโห่ร้องอย่างสมหวังของนักท่องเที่ยวดังก้อง
ไปพร้อม ๆ กับเสียงชัตเตอร์ดังรัว ๆ
ความหวัง เมื่อมันได้รับการตอบสนองตามความคาดหวัง
คงไม่ต้องอธิบายว่าคนได้รับจะสุขใจมากเพียงใด
หลายๆคนได้เห็น…อย่างที่อยากจะเห็น
หลายๆคนได้ภาพ…อย่างที่อยากจะได้
หลายๆคนได้รับการชดเชย
หลังจากจากผิดหวังมาหลายคราหลายหน
และทุก ๆ คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ในเช้านี้
มีความทรงจำดี ๆ ให้คิดถึง…อีกนาน
เวลาแห่งความสุขค่อย ๆ เดินจากไป
นักท่องเที่ยวบางส่วนทยอยออกเดินทางไปจุดหมายใหม่
เหลือก็เพียงส่วนน้อย และอีกส่วนที่พึ่งจะมา
แดดเริ่มแรง แสงเริ่มจ้า
ทะเลหมอกยังคงลอยฟู เกาะกันแน่นไม่จางหาย
พอให้ผู้มาใหม่ได้เชยชม
สำหรับผม ที่นี่เป็นปลายทาง
จึงไม่ได้รีบเร่งอันใด
ขอใช้เวลา ใช้ความรู้สึก ใช้ใจ
กับสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ เพื่อโอบกอดเอาไว้ให้นาน
ก่อนที่ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างจะผ่านไป…ในแบบของมัน
การรอคอยได้สิ้นสุดลง
พร้อม ๆ กับความหวังที่ได้รับการสนอง
หลังจากปล่อยให้เผชิญกับความผิดหวังถึง ๓ ครั้ง…ที่ผ่านมา
สายวันนั้นผมบอกลาภูทับเบิกอย่างสุขล้น
เพราะไม่มีอะไรต้องให้แคลงใจ ไม่มีอะไรต้องให้ห่วง
ภูทับเบิกในวันนี้…
ได้เติมเต็มสิ่งที่ผมรอคอยมานานแสนนาน
อย่างเต็มเปี่ยม เปี่ยมแค่ไหน?
เปี่ยมจนล้น ล้นจนไม่มีวันลืม และไม่ถูกกลืนด้วยกาลเวลาอย่างแน่นอน ?